ท้องเสีย ท้องร่วง ทำอย่างไร
บางท่านอาจเคยมีอาการท้องเสียหรือท้องร่วงโดยไม่ทราบสาเหตุ
และเมื่อมีอาการท้องเสีย ท้องร่วง ต้องทำอย่างไรท้องเสีย ท้องร่วง หรืออุจจาระร่วง หมายถึง อาการที่ถ่ายอุจจาระเหลวหรือ
ถ่ายเป็นน้ำเกินกว่าวันละสามครั้ง หรือ
ถ่ายเป็นมูกเลือดตั้งแต่ 1 ครั้งขึ้นไป ภายใน 24 ชั่วโมงอาการเหล่านี้ หากมีอาการไม่เกิน 2 สัปดาห์ เรียกว่า ท้องเสียเฉียบพลัน
หากมีอาการนานกว่า 2 สัปดาห์ เรียกว่า ท้องเสียเรื้อรัง
ผู้ที่ป่วยท้องเสียจะไม่สามารถดูดซึมสารอาหารหรือน้ำได้อย่างเหมาะสม
หากเป็นนานเกินไป อาจมีภาวะขาดน้ำหรือ มีปัญหาเกลือแร่ผิดปกติได้สาเหตุของอาการท้องเสีย
-การกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ไม่สะอาด
-การแพ้อาหารบางชนิด เช่น เห็ดดิบบางชนิด
นม(เนื่องจากขาดเอนไซม์ที่ใช้ย่อยน้ำตาลแลคโตสในนม)
-กินอาหารมากเกินไปหรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อาการท้องเสียสามารถแบ่งตามลักษณะของอุจจาระได้ 2 แบบ คือ
1.อาการท้องเสียที่ถ่ายเป็นมูกเลือด โดยผู้ป่วยมักมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดท้องหรือ
ปวดเบ่งที่ทวารหนัก ถ่ายบ่อย และมีปริมาณอุจจาระที่ออกในแต่ละครั้งไม่มากนัก
2.อาการท้องเสียที่ถ่ายเหลวหรือเป็นน้ำ สีเหลืองหรือเขียวอ่อน
ในรายที่เป็นรุนแรงอาจเป็นน้ำขุ่นขาวคล้ายน้ำซาวข้าวอาการแบบไหนจึงต้องรับประทานยาฆ่าเชื้อ(ยาปฏิชีวนะ)
การใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อเพื่อรักษาผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสีย
มักจะพิจารณาให้การรักษาเฉพาะในผู้มีอาการท้องเสียที่ถ่ายเป็นมูกเลือด
หรือผู้มีอาการถ่ายเหลวเป็นน้ำหรือน้ำซาวข้าวที่มีอาการแสดงของการขาดน้ำ เช่น
อาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง กระหายน้ำ ปากคอแห้ง หน้ามืด เป็นต้นเนื่องจากอาการเหล่านี้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
ดังนั้น สำหรับผู้ที่มีอาการท้องเสียแบบถ่ายเหลวไม่มีเลือดปน และไม่มีอาการขาดน้ำ
ไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อ(ยาปฏิชีวนะ)เมื่อมีอาการท้องเสียควรทำอย่างไร
ต้องรับประทานยาหยุดถ่ายโดยทันทีหรือไม่หลายๆท่านอาจคิดว่า เมื่อมีอาการท้องเสียควรทานยาหยุดถ่ายหรือ
ยาแก้ท้องเสีย แต่วิธีการเช่นนี้เป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องเพราะการรับประทานยาหยุดถ่ายหรือยาแก้ท้องเสีย
นั้นทำให้ลำไส้ต้องกักเก็บเชื้อโรคเอาไว้นานขึ้น
ซึ่งจะทำให้ท้องอืด ปวด และแน่นท้องมากขึ้น
ดังนั้นถ้าท้องเสียไม่ควรรับประทานยาหยุดถ่าย แต่ควรจะถ่ายให้หมด
เนื่องจากร่างกายจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบ เมื่อมีการติดเชื้อหรือ
กินอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ
โดยการขับถ่ายสารพิษหรือเชื้อโรคออกมา และเมื่อขับถ่ายหมด
การเคลื่อนตัวของลำไส้ก็จะกลับมาเป็นปกติวิธีดูและตัวเองเมื่อท้องเสียในช่วง 24-72 ชั่วโมง
1.หยุดรับประทานอาหาร 2 ถึง 4 ชั่วโมง เพื่อให้ลำไส้หยุดการทำงาน
2.ให้รับประทานถ่านกัมมันต์ เพื่อให้ถ่านกัมมันต์ดูดซับสารพิษ หรือเชื้อโรค
ช่วยลดต้นเหตุของอาการท้องเสีย
(หากรับประทานแล้วอาเจียนออกมา ก็ให้รับประทานถ่านกันมันต์เม็ดใหม่เข้าไปอีก)ถ้ามีลม จุกเสียด ให้ใช้ พิมเสนน้ำ ตรา เอ ทารอบสะดือ
แบ่งนำมาแตะที่ลิ้นแล้วกลืนลงไป
(พิมเสนน้ำ ตรา เอ เท่านั้น เพราะใช้วัตถุดิบเป็น Foodgrade
แม้ว่าขึ้นทะเบียนยาเป็นยาใช้ภายนอก)3.จิบสารละลายเกลือแร่ (Oral rehydration salts, ORS)
หรือ เตรียมเองได้โดยผสมน้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ และเกลือแกง 1 ช้อนชา
ลงในน้ำที่ต้มเดือดที่เย็นแล้ว750ซีซี ละลายให้เข้ากันองค์การอนามัยโลกแนะนำส่วนประกอบไว้ดังนี้
โซเดียม 30-80 mmole/l
กลูโคส 30-112 mmole/l
โดยวิจัยจาก electrolyte ในอุจจาระที่เกิดท้องเสียจากเชื้อโรคต่างๆ
การจิบเกลือแร่ ให้จิบปริมาณน้อยๆ แต่จิบบ่อยๆ ไปเรื่อยๆ และควรเตรียมสารละลาย ORS ใหม่
หากใช้ไม่หมดภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อทดแทนน้ำกับเกลือแร่ที่ร่างกายสูญเสียไป*** ห้ามทดแทนด้วยเครื่องดื่มเกลือแร่ ***
เพราะเครื่องดื่มเกลือแร่ มีปริมาณน้ำตาล
และเกลือแร่บางชนิดที่สูงกว่า
ทำให้ร่างกายดึงน้ำเข้ามาในทางเดินอาหาร
ส่งผลให้ลำไส้บีบตัวมากขึ้น
กระตุ้นการถ่ายเหลวมากขึ้น4.หลังจากนั้นจึงเริ่มรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ข้าวใส่เกลือ ข้าวต้ม หรือ โจ๊ก
งดอาหารรสจัดและอาหารที่มีกากใยมาก เช่น ผัก ผลไม้
5.รับประทานโยเกิร์ต ที่มีโปรไบโอติก (probiotic yogurt)
เชื้อแบคทีเรียมีชีวิตเหล่านี้สามารถช่วยบรรเทาอาการท้องร่วงบางชนิดและทำให้หายเร็วขึ้นได้
6.ลองรับประทานแบรทไดเอ็ท (BRAT diet) ได้แก่ กล้วย , ข้าว, แอปเปิ้ลหรือน้ำแอปเปิ้ล และขนมปังปิ้งแห้ง
อาหารสูตรนี้เหมาะสำหรับเด็ก แต่ผู้ใหญ่ก็สามารถรับประทานได้เช่นกัน
ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องเน้นเฉพาะอาหารเหล่านี้ แต่การรับประทานอาหารเหล่านี้เพิ่ม
อาจช่วยให้อาการท้องร่วงหายเร็วขึ้นได้
7.งดดื่มนม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน จนกว่าจะหายท้องเสีย
8.หลีกเลี่ยงยารักษาโรคท้องเสีย ยกเว้นแพทย์สั่ง เนื่องจากท้องเสียเป็นการขับสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากร่างกาย
ดังนั้นทางเดียวที่จะดีขึ้นได้คือต้องยอมถ่ายเหลว
9.รักษาตามอาการ เช่น ให้ยาแก้อาเจียน ยาแก้ปวดท้อง หรือ ยาลดไข้
10.เมื่ออาการถ่ายเหลวผ่านไปหลายวันแล้ว แต่ถ้ายังมีอาการถ่ายเหลวอยู่
ให้ดื่มน้ำต้มเปลือกมังคุดควรได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนในกรณีดังต่อไปนี้
-อาเจียนหรือท้องเสียในเด็กแรกเกิดอายุน้อยกว่า 3 เดือน
(พบแพทย์ทันทีที่มีอาการ)
- เด็กอายุเกิน 3 เดือนที่มีอาการอาเจียนนานกว่า 12 ชั่วโมง
- มีไข้ร่วมกับท้องเสีย โดยไข้สูงกว่า 38.33°C ในผู้ใหญ่
หรือสูงกว่า 38°C ในเด็ก
- ท้องเสียนานกว่า 3 วัน
- อุจจาระมีเลือดปน มีสีดำ หรือดูมีน้ำมันปน
- อาการปวดท้องที่ไม่ดีขึ้นเมื่อได้ถ่ายอุจจาระ
- อาการขาดน้ำ เช่น เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย หรือตะคริว
เส้นเอ็นตึง เจ็บเส้น ปวดหลัง ปวดเอว ปวดเข่า
นั่งยองๆยาก ยกแขนไม่ขึ้น วิธีรักษา
กระดูกหัก กระดูกร้าว
ข้อเข่าเสื่อม กระดูกเสื่อม
หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท
วิธีรักษา